Please wait...
SOLUTIONS CORNER
วิธีเลือกความเร็ว ขนาด และประเภทของ RAM

วิธีเลือกความเร็ว ขนาด และประเภทของ RAM

วิธีเลือก ram

หากคุณต้องการอัปเกรดหน่วยความจำของพีซีคุณ คุณจำเป็นต้องรู้ว่าพีซีของคุณมีอะไรอยู่บ้างแล้ว
 
เนื่องจากประชากรที่ทำงานจากระยะไกลมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งพีซีเดสก์ท็อปและแล็ปท็อปของเราไม่เคยอยู่ภายใต้สถานการ์ณตึงเครียดเช่นนี้มาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการที่เราจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องของเรามีหน่วยความจำเพียงพอเพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ได้
 
Random Access Memory (RAM) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง และมักจะมาในรูปแบบแท่งแบบถอดได้ที่ถูกเสียบเข้ากับเมนบอร์ด ซึ่งมันกับพื้นที่เก็บข้อมูลนั้นมีความแตกต่างกัน หากแต่ทั้งสองอย่างนี้มักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นวันนี้เราจะมาเปรียบเทียบเพื่ออธิบายความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้
 

RAM คืออะไร?

มันคือหน่วยประมวลผลกลางของระบบ (CPU) ที่ถูกมองว่าเป็นสมองของระบบและโทเค็นเดียวกัน, เป็นเหมือนที่จัดเก็บข้อมูล เช่น ฮาร์ดไดรฟ์ และ SSD ซึ่งเป็นหน่วยความจำระยะยาวของระบบ
 
หากเราจะอธิบายสิ่งนี้ให้ละเอียดมากขึ้น RAM สามารถอธิบายได้ดีที่สุดว่าเป็นหน่วยความจำระยะสั้นของระบบ ซึ่งเทียบเท่ากับส่วนของสมองที่จัดการงานประจำวัน เช่น การกิน, การทำอาหาร, การหายใจ หรือก็คือกระบวนการที่ต้องใช้ข้อมูลในการประมวลผลตามบริบทในขณะนั้น แต่ก็สามารถลืมไปได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน นอกจากนี้ RAM ยังช่วยให้มีพื้นที่ (headspace)ในระบบมากขึ้น โดยมันจะให้ข้อมูลบริบทชั่วคราวสำหรับกระบวนการของคอมพิวเตอร์
 
ยิ่งคุณมี RAM มากเท่าไหร่คุณก็จะสามารถใช้ข้อมูลนี้ได้มากขึ้นเท่านั้น และยังสามารถรองรับแอปพลิเคชันและประมวลผลต่างๆได้มากขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งถือว่าเราโชคดีที่เดสก์ท็อปสมัยใหม่ส่วนใหญ่และแล็ปท็อประดับท๊อปบางรุ่นอนุญาตให้อัปเกรด RAM ได้ เพราะมันจะช่วยฟื้นฟูระบบให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นได้
 

ฉันมีแรมเท่าไหร่?

น่าเสียดายที่การซื้อ RAM อาจยุ่งยากเล็กน้อยหากคุณไม่แน่ใจว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพราะ RAM มีได้หลายรูปทรง, ความเร็ว และขนาด และถึงแม้ว่า RAM Stick จะพอดีกับเครื่องของคุณ แต่ก็มีโอกาสที่จะใช้งานไม่ได้เช่นกัน
 
Windows 10 ให้ข้อมูลที่จำกัดมากในเรื่องนี้ ดังนั้นหากต้องการรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ คุณต้องไปที่หน้า “เกี่ยวกับ” ตรงแผงควบคุม สามารถทำได้โดยพิมพ์คำว่า "RAM" ในแถบค้นหาของ Windows 10 แล้วคลิก "ดูข้อมูล RAM" หรือสามารถเข้าไปดูได้อีกช่องทาง คือ เข้าไปที่การตั้งค่า "ระบบ" และเลื่อนลงไปที่ "เกี่ยวกับ"
 
ในหน้าเกี่ยวกับ คุณจะเห็นข้อมูลเกี่ยวกับชื่ออุปกรณ์, ประเภทตัวประมวลผลและความเร็ว, แรมที่ติดตั้ง, อุปกรณ์ และรหัสผลิตภัณฑ์ ว่าใช้ระบบปฏิบัติการ 32 บิตหรือ 64 บิตและข้อมูลเบ็ดเตล็ดอื่นๆบางส่วน
 
คุณจะสังเกตเห็นว่า RAM ที่ติดตั้งจะแสดงตัวเลขสองตัว ตัวเลขอันดับแรกคือจำนวน RAM ทั้งหมดที่ติดตั้งในระบบ และตัวที่สองจะแสดงจำนวน RAM ที่ใช้งานได้ ซึ่งจะระบุว่าแอปและกระบวนการของคุณสามารถใช้ RAM ได้เท่าใดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยตัวเลขหลังจะต่ำกว่าเนื่องจากสัดส่วนของ RAM ที่ติดตั้งจะถูกสงวนไว้สำหรับกระบวนการที่สำคัญอื่นๆบางอย่างของ Windows
 
ด้วยวิธีที่มันโต้ตอบกับระบบ การติดตั้ง RAM แบบทวีคูณจากสี่หน่วยจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด นั่นหมายความว่า RAM ที่คุณติดตั้งควรเป็น 4GB, 8GB, 16GB และอื่นๆ ในเครื่องรุ่นเก่าบางเครื่องอาจมี RAM 2GB แต่เนื่องจาก Windows 10 ต้องการอย่างน้อย 2GB เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณจะพบว่าเครื่องในปัจจุบันจะมีแรมอย่างน้อย 4GB  และหากคุณมีตัวเลขที่แสดงที่ไม่ใช่ผลคูณสี่ (เช่น 6GB) อาจเป็นไปได้ว่า RAM stick ล้มเหลวหรือมีการติดตั้งที่ไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น การติดตั้ง RAM ขนาด 12GB อาจบ่งบอกได้ว่าจากใน RAM 4GB ของคุณสี่แท่ง มีอันหนึ่งล้มเหลว
 

ฉันควรซื้อแรมแบบไหน?

ปัจจุบันผู้ผลิตส่วนใหญ่แนะนำว่าแล็ปท็อปควรมีแรมอย่างน้อย 4GB สำหรับการประมวลผลทั่วไปแบบวันต่อวัน และในส่วนของการเล่นเกมและการใช้งานกราฟิกอื่นๆควรต้องใช้มากขึ้นเล็กน้อย แล็ปท็อประดับไฮเอนด์สามารถมีแรมที่ 16GB หรือ 32GB และสามารถอัพเกรดให้มากกว่าเดิมได้  ซึ่งในความเป็นจริง Windows รุ่น 64 บิตบางรุ่นจะรองรับ RAM ได้สูงสุดถึง 6TB ที่ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่คุณจะใช้ RAM สูงสุดของเมนบอร์ดแต่ก็คงใช้งานนานมากก่อนที่จะไปถึงจุดสูงสุดนั้น
 
แต้ก่อนที่จะไปซื้อ เรายังยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย CPU-Z ฟรีของ CPUID เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการรวบรวมข้อมูลนี้ ติดตั้งมันบนคอมพิวเตอร์ของคุณ เรียกใช้งานมัน จากนั้นไปที่แท็บหน่วยความจำ
 

มีรายละเอียดมากมายในแท็บนี้ที่เราไม่จำเป็นต้องรู้ แต่สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ :

  • จำนวนสล็อตหน่วยความจำที่เมนบอร์ดของคุณมี (โดยปกติคือสองช่อง หรือบางครั้งก็หนึ่งช่อง และสี่ช่อง)
  • ใช้หน่วยความจำประเภทใด (โดยปกติจะเป็นตัวอักษร DDR)
  • ความถี่ของหน่วยความจำ (กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเร็วแค่ไหน)
 
ตอนนี้คุณมีข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นต้องรู้แล้ว ดังนั้นคุณสามารถเริ่มมองหา RAM ที่เหมาะกับความต้องการของคุณได้ อย่างไรก็ตามเราขอแนะนำให้คุณซื้อของใหม่เสมอ แต่หากคุณจะซื้อมือสองก็ควรมีการรับประกันเหล็กหล่อ เนื่องจากชิป RAM ค่อนข้างบอบบาง เพียงแค่สัมผัสผิดจังหวะก็สามารถทอดได้และหมุดเชื่อมต่อสีทองอาจจะเสียหายได้ง่ายเมื่อมีการติดตั้งซ้ำ
 
แม้ว่าจะแนะนำให้ใช้ (โดยเฉพาะสำหรับผู้ซื้อที่ไม่มีประสบการณ์) แต่คุณไม่จำเป็นต้องยึดติดกับข้อกำหนดของ RAM ที่ติดตั้งไว้ในระบบ ในความเป็นจริงคุณควรดูเอกสารประกอบต่างๆที่คุณต้องใช้เพื่อสนับสนุนเมนบอร์ดของคุณมากกว่า เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นกรณีที่เมนบอร์ดสามารถรองรับความถี่แรมได้หลากหลาย และคุณอาจพบว่าสิ่งที่ติดตั้งอยู่นั้นอยู่ในระดับต่ำสุดของระบบที่รองรับได้
 
เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จาก RAM ใหม่ สล็อตเมนบอร์ดทั้งหมดควรมีหน่วยความจำและทำงานด้วยความเร็วเท่ากัน หากคุณมีสี่ช่องคุณสามารถใส่หนึ่งช่อง สองช่อง หรือสี่ช่องก็ได้ แต่เช่นเคยหากคุณใช้มากกว่าหนึ่งช่องก็แค่ใส่ชิปที่เหมือนกันในทุกช่อง นั่นหมายความว่าถ้าคุณไม่มั่นใจแบบ 100% ว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็อย่าฝืนที่จะซื้อ RAM แท่งเดียวเพื่อให้สอดคล้องกับบิตที่มีอยู่แล้ว เพราะนั้นอาจทำให้ค่าคอมพิวเตอร์ของคุณเสถียรน้อยกว่าค่าเริ่มต้น
 
มันคุ้มค่าที่จะลงทุนในชิปที่เหมือนกัน, ความเร็วเท่ากัน, แรมเดียวกัน, ยี่ห้อเดียวกัน ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ควรค่าแก่การทำ โดยเราขอแนะนำแบรนด์ชั้นนำ เช่น Samsung, Crucial หรือ Kingston ที่ซื้อจากผู้จำหน่ายที่มีชื่อเสียง
 

เคล็ดลับในการเลือกซื้อ RAM

ก่อนที่คุณจะทำอะไร สิ่งสำคัญอย่างแรกเลยคือคุณต้องตรวจสอบก่อนว่าระบบของคุณอนุญาตให้ขยาย RAM ได้หรือไม่ ในขณะที่พีซีและแล็ปท็อปที่ทันสมัยส่วนใหญ่จะมีช่องพิเศษสำหรับเพิ่มหน่วยความจำมากขึ้น แต่เครื่องรุ่นเก่าบางเครื่องอาจยังไม่มี เช่นเดียวกับอุปกรณ์บางอย่างที่มีรูปร่างผิดแปลกไปจากปกติ อย่างเช่นอุปกรณ์ 2-in-1 ที่ RAM อาจติดอยู่กับเมนบอร์ดทำให้ไม่สามารถดัดแปลงเพิ่มอะไรได้
 
เช่นเดียวกับ MacBook หลายรุ่นเหมือนกัน ทั้ง MacBook Pro และ MacBook Air รุ่นล่าสุดก็มี RAM ที่มาพร้อมกับ SSD ซึ่งบัดกรีเข้ากับเมนบอร์ด แต่ในขณะที่ iMac รุ่นใหม่บางรุ่นก็มี RAM ที่ผู้ใช้สามารถอัพเกรดได้ในทางเทคนิค อย่างไรก็ตามการทำเช่นนั้นจำเป็นต้องมีการรื้อถอนเครื่องหลายส่วน นอกจากนี้ยังควรจำไว้ว่าหากคุณอัปเกรด RAM ในเครื่อง Apple ของคุณ แรมจะมีขนาดและรูปร่างที่เฉพาะเจาะจงซึ่งแตกต่างจากที่คุณติดตั้งในแล็ปท็อป Windows
 
เมื่อพูดถึงการอัปเกรด คุณสามารถใช้ชิป RAM ใดๆที่คุณมีอยู่ก็ได้หากต้องการใช้จริงๆ แต่ก็บ่อยครั้งเช่นกันที่ในขณะที่เครื่องกำลังบู๊ต คุณอาจพบว่าเครื่องทำงานช้าลงและมีความเสถียรน้อยกว่าก่อนที่คุณจะอัปเกรดมัน
 
ชิป RAM มาพร้อมกับความถี่ที่แตกต่างกัน กล่าวคือความเร็ว ซึ่งหากคุณไม่รักษาความเร็วให้สม่ำเสมอ มันก็เหมือนกับรถฟอร์มูล่า 1 ที่ชนชิเคนอย่างกะทันหัน  เพราะชิปที่ช้าจะทำให้ข้อมูลย้อนกลับจากชิปใหม่และเครื่องของคุณจะค้างและขัดข้องมากยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นควรตรวจสอบหน้าสนับสนุนสำหรับเครื่องของคุณและมองหา RAM ความถี่ที่เร็วที่สุดที่เครื่องของคุณจะรองรับได้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
 
มีสิ่งอื่นๆอีกสองสามอย่างที่คุณควรระวังเมื่อซื้อ RAM นั้นก็คือ CAS Latency หรือที่มักแสดงเป็น CL หรือ CAS ซึ่งเป็นการวัดความหน่วง พูดง่ายๆก็คือเวลาที่หน่วยความจำต้องรอเพื่อส่งข้อมูลไปยัง CPU สิ่งนี้จะไม่สำคัญมากนักเว้นก็แต่ถ้าคุณจะสร้างพีซีที่มีสเปคสูง แต่มันก็น่าสังเกตว่า ยิ่งค่า CAS ต่ำลงเวลาแฝงก็จะเร็วขึ้นเช่นกัน
 
เครื่องกระจายความร้อนก็คุ้มค่าที่จะลงทุน แม้ว่าจะไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพที่สำคัญให้กับเครื่องของคุณได้ แต่การมีคุณสมบัตินี้สามารถช่วยลดความร้อนของหน่วยความจำซึ่งจะทำให้อายุการใช้งานของ RAM ยาวนานขึ้น
 
จำไว้ว่า RAM เป็นสิ่งที่เปราะบางและต้องได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการเลือกให้ถูกต้องในครั้งแรกจึงมีความสำคัญ ผู้ค้าปลีกมักไม่ใส่ใจในการดึงแรมคืนเนื่องจากเมื่อออกจากถุงป้องกันแล้วอาจแตกได้หากใช้งานผิดวิธีแม้เพียงเล็กน้อย
 
แต่ข่าวดีก็คือการอัปเกรด RAM สามารถทำให้คอมพิวเตอร์ที่เฉื่อยชากลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง หรือแม้กระทั่งทำให้คอมพิวเตอร์ราคาถูกและสเปคต่ำกลายมาอยู่ในอันดับต้นๆได้ เพราะมันสามารถใส่ได้ง่าย และรอดูได้เลยเพราะคุณจะรู้สึกถึงความแตกต่างในการตอบสนองครั้งต่อไปตอนที่คุณเปิดเครื่องอย่างแน่นอน
 

ที่มา: 
https://bit.ly/3nLn6dm
ควิกเซิร์ฟ
สินค้า
งานระบบ
บริการ
กิจกรรม
ออนไลน์