Please wait...
SOLUTIONS CORNER
วิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบ WiFi ในองค์กร

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบ Wi-Fi ในองค์กรของคุณ



9 ขั้นตอน ที่จะช่วยให้การอัพเกรด Wi-Fi ภายในองค์กรนั้นง่ายขึ้น
 
มีหลายๆ คนเคยพูดว่าระบบเครือข่ายแบบไร้สาย (Wireless Network) ที่โอเวอร์โหลด (Overloaded) หรือการกำหนดค่าไม่ดีนั้น ก็ไม่ต่างกันกับระบบเครือข่ายแบบใช้สาย แต่อย่างใด ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลายเทคนิคที่คุณอาจมองข้าม เพราะมันอาจจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพของ Wi-Fi ในองค์กรของคุณ โดยที่ไม่ต้องลงทุนเปลี่ยนสถาปัตยกรรมที่มีอยู่ หรือไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่มากเกินความจำเป็น เพียงแค่ต้องลงทุนในเรื่องของเวลาและบุคคลากรที่มีความรู้และเข้าใจในเรื่องนี้ เท่านั้นเอง
 
แน่นอนว่า ประสบการณ์ที่ผ่านมาอาจจะทำให้คุณอารมณ์เสียมากยิ่งขึ้น ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะจากการที่เราเคยเห็นธุรกิจประเภทรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ที่เพิ่มสาย DSL และเราเตอร์ (Routers) ที่เปิดใช้งาน Wi-Fi เพิ่มมากขึ้น เพื่อพยายามแก้ปัญหาที่ผู้ใช้งานแบบไร้สายขาดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเป็นระยะๆ แต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะในที่สุดแล้วก็กลับกลายเป็นว่าระบบเครือแบบข่ายไร้สาย (Wireless Network) สามารถทำงานได้ดีกว่า ซึ่งปัญหาก็คือ องค์กรที่ให้บริการการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรือ ISP (Internet Service Provider) กำลังแปลงชื่อเว็บเป็นหมายเลข IP ด้วย DNS server อย่างขะมักเขม้นตามแผนการแบบบารอก (Baroque) เพื่อกำจัดแฮ็กเกอร์ (Hacker) หรือผู้ส่งอีเมลขยะ (Spammer) อยู่นั่นเอง
 
ดังนั้น บทเรียนที่หนึ่งก็คือ ก่อนที่คุณจะเริ่มวางแผนเพื่ออัพเกรดอุปกรณ์ไร้สาย คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าปัญหาที่คุณพยายามจะแก้ไขนั้นคืออะไร แล้วตรวจสอบให้แน่ใจว่าปัญหาดังกล่าวนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่าเกิดจากข้อผิดพลาดหรือปัญหาคอขวด ณ จุดใดจุดหนึ่งในเครือข่ายหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น โครงการอัพเกรด Wi-Fi ขนาดใหญ่ราคาแพง ก็อาจจะไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้ ซึ่งคุณอาจจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีกว่าจากการใช้จ่ายไม่กี่ปอนด์ เพื่อชดเชยให้กับลูกค้าเก่าที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้
 

1."การเพิ่มประสิทธิภาพ" ไม่ได้หมายถึงการซื้อเราเตอร์ใหม่

เมื่อมีคนพูดถึงการเพิ่มประสิทธิภาพ (Boosting) ให้กับ Wi-Fi ของพวกเขา พวกเขาก็มักจะนึกถึงการปรับปรุงความเร็วโดยรวมของเครือข่าย อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้มีวิธีเดียวเพื่อทำสิ่งนี้
 
ในความเป็นจริง การแก้ปัญหาส่วนใหญ่มักจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่าคุณจะต้องรื้อออก,ติดตั้งและตั้งค่าใหม่ทั้งหมด หรือมันอาจจะเป็นกรณีของการแยกการตั้งค่าที่ผิดพลาด (Misconfiguration) ที่บังคับให้เครื่องทั้งหมดของคุณแสดงเคอร์เซอร์ที่บ่งบอกว่าแอพพลิเคชั่นไม่ว่าง (Busy Cursor) ในการดำเนินการก็เป็นได้
 
และนั่นก็คือปัญหาที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีการเชื่อมต่อกับเครือข่าย ซึ่งอาจจะเป็นได้ว่าอุปกรณ์ภายนอกเช่น การเชื่อมอาร์ค (Arc Welder) ที่สามารถสร้างคลื่นรบกวนเครือข่าย (RF interference) จนอาจส่งผลให้เครือข่ายภายในของคุณทำงานผิดปกติได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น การอัพเกรดเราเตอร์ (Router) ของคุณก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหานี้ได้
 
สิ่งสำคัญก็คือ ต้องจำไว้ว่าเครือข่ายที่แข็งแกร่งนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เครือข่ายที่รวดเร็ว แต่มันจำเป็นที่จะต้องจัดหาฟังก์ชั่นที่จำเป็นให้กับธุรกิจของคุณได้ ยกตัวอย่างเช่น มันอาจเป็นไปได้ว่าคุณต้องจัดการการเข้าถึงของลูกค้าหรือทำการควบคุมแบนด์วิดท์ (Bandwidth) ของพนักงานภายใน หรือคุณอาจจะต้องการสร้างเครื่อง Honeypot เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของแฮ็กเกอร์ออกจากเครือข่ายหลักของคุณ อย่างไรก็ตามไม่ว่าธุรกิจของคุณจะต้องการอะไรเพิ่มเติมก็ตาม ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้จะเกินขีดความสามารถของเราเตอร์มาตรฐาน (Standard Route) ทั้งสิ้น
 
หากคุณกำลังมีความคิดที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครือข่าย Wi-Fi ที่ใช้กับธุรกิจของคุณ ให้คุณพิจารณาว่ามันเป็นมากกว่าเราเตอร์ที่ดีกว่า และอาจจะต้องมีราคาที่แพงกว่าเล็กน้อย
 

2.จำไว้ว่ามันเป็นสัญญาณวิทยุ (Radio) ไม่ใช่รังสีเอกซ์ (X-rays)

หากคุณพร้อมที่จะทำการอัพเกรดระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless Network) ของคุณ หรือกำหนดค่าเป็นครั้งแรก ให้เริ่มต้นด้วยการพิจารณาสถานที่ของคุณ และคุณจำเป็นต้องหาวิธีที่จะทำให้คุณได้รับความครอบคลุมของสัญญาณในแบบเดียวกันอย่างสมเหตุสมผล ซึ่งคุณสามารถทำการวิจัยขั้นพื้นฐานได้โดยการเดินไปรอบๆ ตัวอาคาร ในขณะที่ถือสมาร์ทโฟนที่เต็มไปด้วยแอพพลิเคชั่นในมือที่ใช้วัดค่าความแรงของสัญญาณ ที่ใช้งานได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
 
แน่นอนว่ามันมีจะต้องมีอุปกรณ์ที่ซับซ้อนกว่านั้น ที่จะให้ผลที่น่าพอใจมากกว่านี้ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้อาจจะมีประโยชน์ขึ้นมาในทันที เมื่อคุณมีปัญหาเกี่ยวกับพื้นที่ครอบคลุมสัญญาณแบบไร้สาย (Wireless Footprint) ที่ซ้อนทับกับเพื่อนบ้านของคุณ ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจจะเกิดเพราะช่องทางที่แออัดจนเกินไป หรืออาจเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปของการแพร่กระจายสัญญาณ RF (RF Signal Propagation) ซึ่งก็หมายความว่าคุณจะได้รับสัญญาณรบกวนที่ไม่พึงประสงค์จากเครือข่ายของเพื่อนบ้าน ซึ่งอันที่จริงแล้วมันควรจะต้องเป็นสัญญาณที่อ่อนแอและอยู่ห่างไกลกว่านี้
 
แทบไม่เคยมีใครแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะเพิ่มกำลังการส่งสัญญาณ AP ของคุณได้เลย เพราะการเปลี่ยนแปลงในสถานีฐาน (Base Station) ของคุณที่ลดกำลังลง และการติดตั้ง AP ที่เพิ่มมากขึ้นของพวกเขา ในกลุ่มที่ใช้ประโยชน์จากแบ็คลิงค์(Back-Links) แบบใช้สาย และการดำเนินการร่วมกันก็มีแนวโน้มที่จะแก้ไขจุดบอด (Dead Spots) และสัญญาณรบกวน (Interference) ได้ดีกว่าตัวส่งสัญญาณขนาดใหญ่ที่ร้อนจัด ที่ตั้งอยู่ในมุมห้องทำงานของคุณ
 

3.กระจายสัญญาณ Wi-Fi ผ่านเคเบิลเพียงเส้นเดียว

เมื่อคุณตัดสินใจซื้ออุปกรณ์ Wi-Fi ระดับ Business-Grade สิ่งที่คุณจะได้รับในทันทีนั่นก็คือ Power over Ethernet หรือที่เราเรียกกันว่า PoE นั่นเอง นี่อาจจะเป็นวิธีที่สะดวกสำหรับอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้พลังงานมากและไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กับปลั๊กไฟ
 
อย่างไรก็ตาม PoE อาจเป็นสิ่งล่อใจที่เป็นอันตรายสำหรับนักออกแบบระบบเครือข่าย (Network Designer) มือใหม่ ลองคิดดูว่ามันจ่ายพลังงานไฟฟ้าไปในสายแลน  โดยไม่ต้องมีการทดสอบประจำปี (Annual Testing) และข้อควรพิจารณาด้านความปลอดภัย (Safety Considerations) เกี่ยวกับการเชื่อมต่อสายไฟที่มีแรงดันไฟฟ้า 240V
 
หลายคนอาจสงสัยว่า พลังงานที่ใช้ต้องมาจากที่ไหนสักแห่ง เพราะส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นสวิตช์ที่มีคุณสมบัติ PoE ซึ่งนี่อาจจะเป็นวิธีที่สะดวกในการทำงาน ในกรณีที่คุณต้องการเรียกใช้อุปกรณ์ Access Point 24 ตัว จากตู้สายไฟ (Wiring Cupboard) เพียงตู้เดียวที่มีสวิตช์อีเธอร์เน็ตหนึ่งตัว (ที่ค่อนข้างร้อน) ที่เป็นตัวแบกรับภาระ แต่คงมีแค่เพียงไม่กี่องค์กรที่ต้องการจุดเชื่อมต่อที่มีความหนาแน่นแบบนั้น เพราะมันมีแนวโน้มที่คุณจะมีอุปกรณ์ PoE เพียงไม่กี่ตัว 
 
ดังนั้น สำหรับสำนักงานขนาดกลางของคุณ คุณอาจต้องซื้อและติดตั้งสวิตช์ PoE เพิ่มเติมควบคู่ไปกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่าย (LAN Hardware) ของคุณเป็นหลัก ซึ่งแทบจะไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าหรือราคาถูกกว่าการใช้กำลังไฟฟ้าเป็นหลัก นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงสถานภาพของการมีเครือข่ายไร้สายของคุณบนเครือข่ายเสมือน (VLAN) เพื่อสร้างเส้นทางการเชื่อมต่อบนเครือข่ายหลัก
 

4.จำนวนที่มากขึ้นก็ย่อมหมายถึงโอกาสที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน

จำนวน Access Point ที่มีมากขึ้น ย่อมส่งผลดีกว่าการพยายามเพิ่มความแรงของสัญญาณ แม้ว่ามันจะมีผลกระทบต่อการบริหารจัดการก็ตาม
 
องค์กรที่ทำตามขั้นตอนแรกๆ แต่นอกเหนือไปจากเราเตอร์ (Router) ที่ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงผ่านสายโทรศัพท์ (DSL) แบบ Single Line แบบดั้งเดิมนั้น พวกเขามักจะพบกับความยากลำบากในการแปลงการตั้งค่าที่ควบคุมการเข้าถึง (Access Control) และการเลือกเส้นทางเดินข้อมูล (Data Routing) ซึ่งเป็นงานที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิงจากธุรกิจการจัดการสัญญาณวิทยุ (Radio Signal), บริษัทโฆษณา (Advertising Services) และการแลกเปลี่ยน (Certificate)
 
วิธีจัดการกับมันนั้น อย่างน้อยก็ต้องขึ้นอยู่กับประเภทของ Access Points ที่คุณเลือก อย่างไรก็ตามบริษัทบางแห่งเลือกที่จะใช้อุปกรณ์ที่มีความซับซ้อนที่สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวของมันเอง ในขณะที่คนอื่นๆ กลับชอบอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นกล่องลักษณะเล็กๆ ที่มีรูปแบบสุดแสนจะธรรมดา เรียกว่าแทบจะไม่มีอะไรมากไปกว่าสัญญาณไฟ LED และพอร์ตสำหรับสายเคเบิล
 
ยิ่งถ้าระบบเครือข่ายของคุณมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ การเข้าใจความหมายของอุปกรณ์อย่างหลังก็ต้องยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น เพราะคุณคงไม่ต้องการตั้งค่า AP จำนวนมากๆ ทีละตัว และคุณก็คงต้องการให้พวกมันทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอินเตอร์เฟสการจัดการส่วนกลาง (Central Management) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณต้องการให้บริการเว็บไซต์พร้อมด้วยการเผยแพร่ Wi-Fi ที่ไม่ธรรมดานี้จัดการกับโหลดที่แปรผันสูง (Highly Variable Load) หรือจัดการกับลูกค้าจำนวนมากที่เดินทางเข้า-ออกสำนักงานของคุณ
 

5.การล่อลวงของการเข้าใช้งานแบบ Single Sign-On (SSO) 

ระบบการยืนยันตัวบุคคล (Authentication) ที่รองรับการใช้งาน ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานลงชื่อเข้าใช้งานระบบ (Login) เพียงครั้งเดียว แต่สามารถเข้าใช้งานระบบอื่นๆ ได้อีกหลายระบบ หรือที่เราเรียกกันว่า Single sign-on (SSO) นั้นเป็นอะไรที่สำคัญสำหรับไอที แนวคิดที่ว่านี้ก็คือ ผู้ใช้ควรจะต้องระบุตัวตน (Identify) ของตนเองเพียงครั้งเดียวในช่วงวันทำงานปกติ ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าถึงระบบ กี่ระบบก็ตาม
 
มันไม่ยากเกินไปที่จะประสบความสำเร็จเมื่อพูดถึงการเข้าถึง Wi-Fi แต่มันก็ไม่ได้เป็นระบบที่ลื่นไหลมากนัก ทั้งในด้านเครือข่ายหรือผู้รับบริการ (Client) ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นมาจากแคชการเข้าสู่ระบบ Wi-Fi ที่จัดการ SSO และตัดสินใจว่ารหัสผ่านที่บันทึกไว้ในหน้าเว็บนั้นสามารถนำมาใช้เพื่อลงชื่อเข้าใช้ระบบเครือข่ายแบบไร้สาย (WLAN) โดยเฉพาะได้หรือไม่ นอกจากนี้ ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่มาจากการพยายามมองหาระบบ Wi-Fi ของโรงแรม เพื่อติดแท็กพิกัดนั้นเลยว่าเป็นบ้านของตัวเอง (Definitely my Home) เพื่อเป็นการเอาชนะผู้ร้องขอคนอื่นๆ ทั้งหมดสำหรับแท็กดังกล่าว ดังนั้น การตั้งค่าคุณลักษณะนี้ใน Wi-Fi ของคุณสำหรับแขกหรือผู้ใช้งานชั่วคราว จึงเป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับคุณ
 
ในขณะที่มันก็ฟังดูน่าสนใจที่จะต้องป้อนรหัสผ่านเพียงแค่ครั้งเดียว แต่หลังจากนั้นพอร์ตโฟลิโอของเครื่อง (Portfolio of Machines), เราเตอร์และบริการคลาวด์ (Cloud Services) ก็จะสามารถจดจำผู้ใช้ของคุณว่าได้ผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ซึ่งเหตุผลอีกหนึ่งประการก็คือ ทุกวันนี้ผู้คนต่างก็คุ้นชินกับการพิมพ์รหัสผ่าน นั่นเป็นเพราะมันไม่ใช่วิธีการที่น่ากลัวอีกต่อไป ดังนั้น คุณจึงไม่จำเป็นต้องพยายามปกป้องพวกเขาจากการป้อนรหัสผ่านแต่อย่างใด
 
หลังจากนั้นก็ได้มีการต่อสู้มาอย่างต่อเนื่องและไม่อาจแก้ไขปัญหาระหว่างผู้ขายได้ว่าใครจะเป็นเจ้าของฐานข้อมูลการพิสูจน์ตัวตน (Authentication Database) ที่ไม่มีใครที่รับผิดชอบงานด้านนี้โดยตรง ที่จะทำหน้าที่นี้เพื่อให้ทันกับความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคในเชิงลึกที่จำเป็นในการเปลี่ยนจากกลไกการพิสูจน์ตัวตนหนึ่งไปเป็นอีกกลไกหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดคนอื่นๆ ที่พยายามจะล่อลวงให้คุณใช้ระบบหรือสถาปัตยกรรมที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขา ซึ่งทุกวันนี้ผลที่ได้รับก็คือความซับซ้อนที่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับคุณตลอดจนผู้ที่เป็นเจ้าขององค์กร
 

6.โปรดระวังในเรื่องของความเข้ากันได้

ในเรื่องของวิธีการที่ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ (Proprietary Approaches) มันเป็นความจริงที่ว่าสถานที่ที่ติดตั้งเครื่องรับ-ส่งสัญญาณ (Base Stations) และอุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน Wi-Fi ทั้งหลาย ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้
 
บางครั้ง ปัญหาที่เกี่ยวกับขอบเขตหรือการแข่งขัน (เช่น จำนวนอุปกรณ์ทั้งหมดที่คุณสามารถใช้ในการส่งข้อมูลซ้ำในหนึ่งเครื่อง) หรือภาวะที่มีการทำงานพร้อมกัน (จำนวนอุปกรณ์ที่สามารถสื่อสารได้ในเวลาเดียวกัน) หรือบางครั้งมันก็เป็นปัญหาของเฟิร์มแวร์ที่มีลักษณะเฉพาะ หรือมีปัญหาแปลกๆ เกี่ยวกับใบรับรอง (Certificates) ในอีกด้านหนึ่งของการสนทนา ซึ่งส่งผลให้การแสดงผลในด้านอื่นๆ ไม่สามารถทำอะไรได้ 
 
ที่ผ่านมาเราพบว่าบริษัทจำนวนมากต้องพบกับปัญหาเหล่านี้ และผลลัพธ์ที่ได้ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นกล่องกระดาษที่เต็มไปด้วยโทรศัพท์ ที่ยังคงติดสัญญาอยู่หลายเดือนของพวกเขา แต่พวกมันไม่สามารถเชื่อมต่อกับ WLAN ของบริษัทได้ ตั้งแต่ที่มีการอัพเกรดครั้งล่าสุด มันคงดูไม่ดี สำหรับคนที่ทำงานด้านไอทีที่จะต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ กับข้อความที่ว่า "คุณใช้งาน Wi-Fi ไม่ได้!" เพราะมันมาจากการเชื่อมต่อที่ดีที่สุด และจากหน่วยงานที่ดูเหมือนว่าจะใจเย็นที่สุดในบริษัทของคุณ
 
ทางออกที่แท้จริงก็คือ การยอมรับความเป็นจริงของปัญหาความเข้ากันได้ (Compatibility) และวางแผนการแก้ปัญหาสำหรับอุปกรณ์เหล่านั้น ขณะเดียวกันคุณก็ไม่จำเป็นต้องเจาะลึกเข้าไปในรายละเอียดปลีกย่อยทางเทคนิคของบริการใหม่ของคุณ เพียงแต่คุณจำเป็นที่จะต้องคิดหาวิธีและต้องรู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไรที่คุณยังคงจะต้องให้อุปกรณ์ตัวเก่าทำงานควบคู่กันไป เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ด้วยเหตุนี้ เครื่องอ่านบาร์โค้ดในคลังสินค้าของคุณจึงสามารถเชื่อมต่อกับ SSID แบบเก่าได้ ในขณะเดียวกัน แท็ปเล็ตและแล็ปท็อปรุ่นใหม่ๆ ก็สามารถที่จะใช้ประโยชน์จากระบบ Wi-Fi ใหม่ได้ เช่นกัน
 
หากผู้ใช้มีความรู้เกี่ยวกับ "การจัดการเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนเข้ามาอยู่ตลอดเวลา" นี้แล้ว  หวังว่าพวกเขาจะรู้สึกได้ว่าความจำเป็นของพวกเขากำลังได้รับการยอมรับ และอุปกรณ์รุ่นเก่าๆ ก็สามารถที่จะอัพเกรดให้ก้าวทันและจัดการได้ในเวลาที่สะดวกได้
 

7.การจัดการกับผู้ใช้งานชั่วคราว

แนวคิดหนึ่งที่แพร่หลายเกี่ยวกับ Wi-Fi ก็คือ มันสามารถและควรที่จะใช้ได้ "ฟรี" เราคิดว่ามันเป็นวิสัยทัศน์ที่สวยงามและบางทีมันอาจช่วยผลักดันบริษัทโทรศัพท์ต่างๆ ให้ลดค่าใช้จ่ายลงในการโรมมิ่งข้อมูล แต่ในด้านธุรกิจมันเป็นของการสนองความต้องการโดยไม่จำเป็น ซึ่งนั่นก็ทำให้ยากต่อการรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับ IT Portfolio ของคุณ หลังจากนั้น มันก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของคุณเองที่จะไม่ทำให้ตัวเองถูกแฮ็ก หรือทำให้ตัวคุณเองอำนวยความสะดวกในการแฮ็คของคนอื่น ดังนั้น การเปิดเครือข่ายของคุณให้กับใครต่อใครโดยที่ไม่มีการสอบถามใดๆ เลย จึงเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ค่อยดีนัก
 
นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณไม่สามารถให้ผู้เยี่ยมชมใช้เครือข่ายของคุณได้เลย แต่เราหมายความว่า คุณควรที่จะให้สิทธิ์การเข้าถึงแบบผู้ใช้งานชั่วคราว (Guest Access) แก่พวกเขา ลองคิดดูว่าคุณต้องการให้ผู้ใช้งานชั่วคราวมีแบนด์วิดท์เท่าไร และทรัพยากร  (Resource) ใดบ้างที่คุณต้องการให้พวกเขาเข้าถึง นอกจากนี้คุณยังต้องตัดสินใจด้วยว่าจะปฏิบัติต่อพนักงานของคุณและอุปกรณ์ส่วนตัวของพวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นแขกผู้มาเยือน (Visitor) หรือพวกเขาจะได้รับบริการในระดับที่ต่างออกไป หรือไม่? อย่างไร?

 

8.แล้วการจัดการคลาวด์ล่ะ?

เครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นของคุณจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมีผู้ใช้ AP และทรัพยากรเครือข่ายมากเท่าไหร่ ความสำคัญของการจัดการก็ต้องมีมากขึ้นเท่านั้น และมันก็ไม่ได้มีแค่เรื่องของความสะดวกสบาย (Convenience) เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของความปลอดภัย (Security) เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
 
นอกจากนี้ Jon Honeyball ที่เรารู้จัก ก็ยังกลายเป็นลูกค้าตัวยงของบริการการจัดการ Meraki บนคลาวด์ของ Cisco เมื่อมันทำให้เขาเห็นว่ามีอุปกรณ์ใหม่มากกว่า 3,000 รายการ ที่ผ่านเข้ามาในบริเวณที่เป็นอาณาเขตการเชื่อมต่อแบบไร้สายของเขา (Wireless Perimeter) ภายในระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ ซึ่งมันก็เป็นสถิติที่ทำให้เขาตัดสินใจได้ในทันทีในที่ประชุม แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องไปได้ยากมากที่รายชื่อผู้ติดต่อเหล่านั้นจะเป็นผู้ไม่ประสงค์ดีทั้งหมด ส่วนใหญ่ก็อาจจะเป็นเพียงแค่รถยนต์ที่ขับผ่านมาพร้อมด้วยโทรศัพท์ที่เปิดใช้ Wi-Fi เท่านั้น
 
การแยกแยะความแตกต่าง คือจุดที่ระบบตรวจจับภัยคุกคามเริ่มคัดแยกสิ่งที่ดีและสิ่งไม่ดีออกจากกัน และนั่นคือสิ่งที่คุณสามารถนำไปใช้งานได้ภายในบริษัท โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเรียกใช้อุปกรณ์ทั้งหมดจากบริการคลาวด์ที่ผู้ขายมีไว้ให้ นอกจากนี้ทรัพยากรในพื้นที่ของคุณ เช่น สาย DSL และเราเตอร์จะแยกกันอยู่ข้างหลังจุดที่ติดตั้งเครื่องรับ-ส่งสัญญาณ (Base Stations) ที่มีการจัดการโดยรวมบนระบบคลาวด์
 
หากคุณทำธุรกิจที่ไม่ได้แตะต้องกับระบบ Wi-Fi ในระยะเวลาตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปนั้น การจัดการคลาวด์ก็แทบจะไม่มีความสำคัญต่อคุณเลย และในขณะที่โซลูชั่นบนคลาวด์อาจจะดูเหมือนว่ามีข้อได้เปรียบด้านความปลอดภัย แต่คุณก็ยังจำเป็นที่จะต้องปกป้องเครือข่ายของคุณเอง ดังนั้น คุณจึงไม่สามารถที่จะลืมเรื่องความปลอดภัยไปได้เลย และการจัดการรหัสผ่านขั้นสูงสำหรับทั้งผู้ใช้ (User) และผู้ดูแลระบบ (Administrator) ก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่ต่างๆ ที่ใช้บริการระบบ Cloud-Managed Wi-Fi
 

9.อัพเกรดอุปกรณ์ 

การอัพเกรดโครงสร้างพื้นฐานไร้สายของคุณนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ฮาร์ดแวร์เครือข่ายระดับ Top-End ทั้งหมดบนโลกนี้จะไม่สร้างความแตกต่างอะไรมากมาย หากอุปกรณ์ที่พนักงานของคุณนำมาใช้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ และเทคโนโลยีไร้สายทั้งหมดก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้มีความสามารถที่เท่าเทียมกัน และมาตรฐานที่ใหม่กว่าเช่น 802.11ac และ MU-MIMO ก็ยังช่วยให้ความเร็วทางทฤษฎีสูงขึ้นกว่ามาตรฐาน 802.11n ที่เป็นรุ่นเก่ากว่ามาก
 
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ชุดอุปกรณ์ไร้สาย (Wireless Kit) ชุดใหม่ที่คุณลงทุนไปนั้นไม่ได้ส่งมอบความเร็วแบบบ้าคลั่งตามที่ผู้ให้บริการได้สัญญาเอาไว้ ซึ่งโอกาสเช่นนั้นก็อาจเกิดขึ้นได้ หรือแม้แต่ในกรณีที่ Adapter แบบไร้สายที่อุปกรณ์ปลายทาง (Endpoint Devices) ของคุณใช้เพื่อเข้าถึงอุปกรณ์นั้นๆ มีอายุเกินกว่าที่กำหนด พวกมันก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงขีดจำกัดความเร็วสูงสุด (Maximum Speed) ของเครือข่ายได้เช่นกัน
 
แน่นอนว่า ไม่มีการรับประกันใดๆ ว่าพวกมันจะสามารถไปได้ถึงจุดสูงสุดทางทฤษฎีได้ แม้ว่าพวกเขาจะใช้มาตรฐานล่าสุดแล้วก็ตาม แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนเสาอากาศ (Antenna), ขอบเขตของเครือข่ายและสัญญาณรบกวน แต่ถ้าพวกมันเป็นอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานที่เก่ากว่า รับรองว่าคุณจะไม่มีโอกาสได้ไปถึงจุดสูงสุดทางทฤษฎีอย่างแน่นอน

ควิกเซิร์ฟ
สินค้า
งานระบบ
บริการ
กิจกรรม
ออนไลน์