Please wait...
SOLUTIONS CORNER
Deep learning คืออะไร

Deep learning คืออะไร?



เราต่างเฝ้าดูปรากฏการณ์ที่อยู่เบื้องหลังAI ขั้นสูงที่สุดในปัจจุบันนี้
Deep learning หมายถึงเทคนิคในการสร้างปัญญาประดิษฐ์โดยใช้โครงข่ายประสาทเทียมหรือข่ายงานประสาทเทียมหลายๆ ชั้นเหมือนแบบจำลองอันเรียบง่ายของสมองมนุษย์

มันเหมาะกับเทคนิคMachine learning ที่มีจุดมุ่งหมายในการสอนเครื่องจักรกลให้วิเคราะห์ข้อมูลตามการตัดสินใจของตัวมันเองแทนการใช้เทคนิคอัลกอริทึมที่ถูกกำหนดโดยมนุษย์ ซึ่งจะกำหนดล่วงหน้าสำหรับงานเฉพาะด้านไว้
กระบวนการ Deep learning มีรากฐานมาจาก Neocortex หรือส่วนหนึ่งของเปลือกสมองในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมโดย Deep learning จะจัดเรียงโนดการวิเคราะห์ในชุดเส้นทางสำหรับข้อมูลที่ไหลระหว่างการเชื่อมต่อในโครงข่ายดังเช่นเครือข่ายโนดที่ซ้อนทับกันหลายเลเยอร์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้มนุษย์ยังไม่สามารถจำลองข้อมูลการเชื่อมต่อหลายชั้นที่ซับซ้อนจนทำให้สมองเป็นดั่งคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังได้เลย
ความสามารถในการวิเคราะห์นี้กำลังช่วยขับเคลื่อนเทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น รถยนต์ที่ไร้คนขับ ซึ่งมันจะสามารถช่วยให้ระบบรถยนต์รับรู้และจดจำสัญญาณจราจรหรือแยกความแตกต่างของวัตถุต่างๆ ในเส้นทางได้เอง 
Deep learning นั้นมีความแม่นยำในระดับสูง บางครั้งก็มีประสิทธิภาพการทำงานที่มากกว่าการทำงานมนุษย์ เพราะมักได้รับการสอนด้วยชุดข้อมูลขนาดใหญ่และสถาปัตยกรรมของโครงข่ายประสาทเทียมที่มีหลายเลเยอร์

ทำความเข้าใจและจำแนกประเภทของ AI

แนวคิดของ AI ไม่ใช่เรื่องใหม่ อันที่จริง มีบันทึกของปัญญาประดิษฐ์ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 18 แล้ว ซึ่งมันมาพร้อมกับการคุกคามของเครื่องจักรที่อัจฉริยะพอๆกับมนุษย์ (หรือ Moreso) โดยเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางจากวงการภาพยนตร์อย่าง2001: A Space Odyssey และ The Terminator
และแนวคิดเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นแนวความคิดที่นำเสนอผ่านเพียงภาพยนตร์อีกต่อไป เพราะแนวคิดเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของพวกเรามากขึ้น อย่างการเปิดตัวเทคโนโลยีอย่างChatbots และแอพพลิเคชั่นสุดอัจฉริยะ หรือในอนาคตอาจจะมีเครื่องจักรที่มีความอัจฉริยะเหนือกว่าความฉลาดของมนุษย์ก็ได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย
คำว่า "ปัญญาประดิษฐ์" เป็นการอธิบายแนวคิดกว้างๆ ของเครื่องจักรที่มีความคิด การตัดสินใจเพื่อตัวมันเอง แต่ในความเป็นจริง ปัญญาประดิษฐ์เพียงหนึ่งคำอาจไม่สามารถอธิบายครอบคลุมความหมายของมันได้ หากเราเริ่มมองดูเทคโนโลยีนี้ ปัญญาประดิษฐ์นั้นสามารถแบ่งออกเป็นสองมิติที่แตกต่างกัน ได้แก่: ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (General AI) และปัญญาประดิษฐ์เชิงแคบ (Narrow AI) (หรือ Applied AI)
ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (General AI)  หมายถึงการศึกษาและออกแบบระบบที่สามารถปฏิบัติงานได้เท่าที่มนุษย์สามารถทำได้ มันอาจเป็นความหมายที่พบบ่อยที่สุดของ AI และสิ่งที่ทำให้เกิดโรคฮิสทีเรียมากที่สุด เนื่องจากระบบนี้สร้างความหวาดกลัวให้คน เกี่ยวกับระบบอัตโนมัติต่างและการเพิ่มขึ้นของหุ่นยนต์สังหารมาทำงานแทนที่มนุษย์ ดังที่คุณอาจทราบแล้วว่าความสำเร็จในด้านนี้ค่อนข้างจำกัด
ในทางกลับกันปัญญาประดิษฐ์เชิงแคบ (Narrow AI)นั้นกลับประสบความสำเร็จมากกว่า เพราะแทนที่จะมุ่งเน้นในการสร้างระบบที่สามารถเลียนแบบมนุษย์โดยทั่วไปได้ แต่ด้านนี้จะเน้นการสร้างเครื่องจักรที่สามารถทำงานเฉพาะทางหรือชุดงานใดก็ตามให้ดีกว่ามนุษย์คนใด
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ Chatbot ที่ออกแบบโดย บริษัท AI Luka ถูกสร้างขึ้นเพื่อวิเคราะห์ ตอบสนองข้อความ และตอบข้อความในโซเชียลมีเดียอัตโนมัติ เพื่อส่งไปยัง Roman Mazurenko เพื่อนสนิทของหนึ่งในนักพัฒนาของLuka ที่เพิ่งเสียชีวิตไป โดยโปรแกรมนี้ได้รับมอบหมายให้วิเคราะห์ข้อมูลเมื่อสี่ปีก่อนเพื่อสร้างความประทับใจในการสื่อสารกับMazurenkoดังนั้น เมื่อโปรแกรมดึงข้อมูลเหล่านี้มาใช้ก็จะสามารถตอบกลับข้อความด้วยสไตล์ของMazurenko โดยสะท้อนโทนเสียงและภาษาของเขาได้
หลายคนยอมรับว่ามันเป็นตัวอย่างที่น่าขนลุกพอสมควรเพราะมันเกี่ยวข้องกับความตายของมนุษย์ แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์เชิงแคบไม่จำเป็นต้องทะเยอทะยานเหมือนกับปัญญาประดิษฐ์ทั่วไปและถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ก้าวหน้าอย่างหุ่นยนต์สังหารจากจิตนาการด้านSci-fiของเรา แต่ก็ไม่มีตัวช่วยหรือระบบใดที่สามารถจำลองข้อมูลอีกชุดขึ้นมาจนเกือบเท่าระดับความฉลาดของมนุษย์ได้อย่างปัญญาประดิษฐ์เช่นกัน
สิ่งใดที่เป็นไปได้ ส่วนใหญ่ต้องขอบคุณMachine learning เพราะแทนที่จะเป็นเครื่องจักที่คัดลอกเฉพาะการกระทำของมนุษย์ด้วยคำแนะนำที่ตั้งไว้ล่วงหน้าแต่อัลกอริทึมที่สร้างขึ้นด้วยหลักการ Machine learningนั้นจะถูกสอนด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์เชิงแคบเพื่อเรียนรู้จากข้อมูลที่ดำเนินการ
ตัวอย่างเช่น ระบบที่ระบุรูปภาพของลูกโป่งวันเกิดเครื่องจักรอาจถูกสอนให้ใช้ข้อมูลจากการทำงานประจำที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเช่น เครื่องหนึ่งเอาไว้ตรวจจับรูปร่างอีกเครื่องหนึ่งเอาไว้ระบุตัวเลขและอีกเครื่องหนึ่งเอาไว้เพื่อวิเคราะห์สีโดยรูปแบบMachine learning ที่กล่าวมาระบบจะดึงรหัสที่มนุษย์ใช้เข้าเป็นประจำมาใช้และพัฒนาอัลกอริทึมเพื่อช่วยให้มันเรียนรู้การระบุวัตถุได้อย่างถูกต้อง
ในขณะที่สิ่งนี้เป็นการพัฒนาระบบ AI ที่ค่อนข้างแหวกแนว แต่ข้อบกพร่องของแบบจำลองก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกันซึ่งปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือการใช้การวิเคราะห์แบบประจำที่ต้องกำหนดไว้ล่วงหน้านั้น ต้องการข้อมูลที่ป้อนจากมนุษย์มากเกินไปตลอดช่วงการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีปัญหาหากมีรูปภาพที่ยากต่อการประมวลผล เช่น รูปใบหน้าหรือรูปวัตถุต่างๆ นั้นเบลอ

แล้วDeep learning เข้ากันได้อย่างไร?

เนื่องจากแบบจำลองนี้ได้ดึงความเข้าใจของเราเกี่ยวกับสมองมนุษย์ทุกวันนี้เราจึงเรียกมันว่า Deep learning.
คำว่า 'ลึก' หรือ ‘Deep’ หมายถึงการสร้างโครงข่ายประสาทเทียมแบบเลเยอร์คล้ายกับตาข่ายของเซลล์ประสาทที่เชื่อมต่อกันซึ่งอยู่ภายในสมอง แต่ไม่เหมือนกับสมองที่ทำหน้าที่เหมือนตาข่ายสามมิติที่เซลล์ประสาทหนึ่งสามารถสื่อสารกับส่วนอื่นๆ ภายในบริเวณใกล้เคียงได้เครือข่ายประดิษฐ์เหล่านี้มีโครงสร้างที่ทำเป็นชั้นโดยมีเลเยอร์บนเลเยอร์(layer upon layer)ของเส้นทางเชื่อมต่อเพื่อให้ข้อมูลนั้นไหลได้เทคนิคนี้เรียกว่า Backpropagationเทคนิคที่ปรับน้ำหนักระหว่างโนดในเครือข่ายเพื่อให้แน่ใจว่าจุดข้อมูลที่เข้ามาจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
นักวิจัยต้องการสร้างกระบวนการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนของสมองขึ้นมาใหม่แต่ละเลเยอร์จึงถูกออกแบบให้วิเคราะห์ข้อมูลและเพิ่มเติมข้อมูลประกอบสำหรับข้อมูลนั้นๆ ทุกครั้งอีกด้วย เมื่อวัตถุผ่านแต่ละเลเยอร์ ความแม่นยำของภาพที่ถูกต้องและความเข้าใจก็จะมีความเป็นไปได้มากขึ้น
อย่างในตัวอย่างของลูกโป่งวันเกิดที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ภาพจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนประกอบต่างๆของลูกโป่งวันเกิด ไม่ว่าจะเป็นสี หมายเลขหรือตัวอักษรใดๆ บนพื้นผิว รูปร่าง หรือแม้กระทั่งแยกว่าว่าลูกโป่งถูกจับไว้หรือลอยอยู่บนอากาศ จากนั้นแต่ละส่วนจะถูกวิเคราะห์โดยเซลล์ประสาทเลเยอร์ที่หนึ่งเพื่อประมาณการและส่งผ่านข้อมูลไปยังเลเยอร์ถัดไป
ระบบนี้ยังสามารถทำงานได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถูกใช้ในการป้องกันการฉ้อโกง ยกตัวอย่างเช่น ระบบสามารถออกแบบมาเพื่อระบุกิจกรรมของบัญชีฉ้อโกงที่โยงกับเครือข่ายประสาทโดยใช้ข้อมูลดิบก่อนหน้า แล้วหลังจากนั้นมันจะเพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมที่ไหลผ่านในระบบด้วย เช่น ราคาซื้อขายของที่นำเข้าและข้อมูลด้านตำแหน่งต่างๆ
ในขณะที่บางเครือข่ายอาจมีเพียงไม่กี่เลเยอร์ แต่บางโปรแกรมอย่าง AlphaGo ของ Google นั้นมีหลายร้อยเลเยอร์ จนสามารถเอาชนะผู้เล่นระดับแชมป์ของเกมกระดานจีนได้ในปี2559 ได้ โดยธรรมชาติแล้ว สิ่งนี้ต้องการอานุภาพในการคำนวณที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม โครงข่ายประสาทนั้นเป็นความใฝ่ฝันของผู้บุกเบิก AI ยุคแรกเสมอ แม้ในปัจจุบันมันก็ยังไม่สามารถทำได้
Deep learning ในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน ระบบMachine learning ที่ทันสมัยที่สุดหลายแห่งใช้เครือข่ายประสาทเทียมในการประมวลผลข้อมูล ความสำเร็จล่าสุดในอุตสาหกรรมรถยนต์ไร้คนขับเป็นไปได้เนื่องจากDeep learning ในขณะที่หลักการยังถูกนำไปใช้ในภาคการป้องกันและการบินเพื่อระบุวัตถุจากอวกาศอีกด้วย
ในขณะที่ศักยภาพของDeep learning นั้นมีมหาศาล แต่ก็มีข้อจำกัดเมื่อต้องทำงานที่คล้ายกับมนุษย์มากขึ้นเช่นกัน เพราะ Deep learning นั้นมีการจดจำรูปแบบอย่างกฎที่ซับซ้อนแต่ตายตัวของ Goแต่นักวิจัยชี้ให้เห็นว่า Training Data จำนวนมากจำเป็นต้องสอนเครื่องจักรแค่กฎที่เฉพาะเจาะจง
การจดจำรูปแบบอาจเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของ AIในด้านการติดต่อ โดยมีDeep learningทำหน้าที่เป็นเครือข่ายสนับสนุนอินพุตแบบ Multimodal ที่รวมความสามารถด้านเสียงและการรับรู้จะถูกประมวลผลควบคู่ไปกับเอาท์พุทแบบMultimodal เช่น รูปภาพและเสียงสังเคราะห์ บริษัทอย่างสตาร์บัคส์ไปจนถึงApple กำลังปรับใช้ระบบข่าวกรองนี้ ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการสั่งซื้อผ่านแอพพลิเคชั่นของพวกเขาผ่านทางคำสั่งเสียงและความสะดวกในการเข้าสู่อุปกรณ์ด้วยสายตาเพียงอย่างเดียว
ในการขั้นของการพัฒนาในปัจจุบัน ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ที่ Deep learningจะดำเนินการกระบวนการที่ซับซ้อนและมีกระบวนการคิดแบบปรับได้อย่างมนุษย์ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยียังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

Deep learning ในอนาคต

Deep learningอาจไม่ส่งผลสำหรับหุ่นยนต์สังหารในช่วงเวลาอันใกล้ นี้แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เปลี่ยนแปลงแง่มุมพื้นฐานของสังคมในรูปแบบอื่น
กลุ่มวิจัย Google Brainแสดงให้เห็นถึง วิธีที่ AI นั้นเรียนรู้อย่างลึกซึ้งได้อย่างไร โดยไม่ต้องระบุวงจำกัดของการทดลองสำหรับการระบุแมวแต่ละตัว หลังจากนั้น ข้อมูลของแมวหลายล้านตัวถูกส่งต่อไปยัง 'Google Brain' และเครือข่ายสามารถระบุรูปภาพได้โดยไม่ต้องใช้ข้อมูลกำกับ
 
การระบุแมวแต่ละตัวอาจดูเหมือนเป็นแค่การทดสองพื้นฐาน แต่นั่นก็ทำให้เห็นว่าการพัฒนาดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้มากขึ้น
ผลการศึกษาเกี่ยวกับ AI ในวงการแพทย์ โดยมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมพบว่าDeep learning นั้นมีความเชี่ยวชาญในการตีความภาพทางการแพทย์เทียบเท่าความเชี่ยวชาญของมนุษย์เลย นี่อาจเป็นการปูทางให้ AI ได้มีบทบาทในวงการแพทย์ที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้ามากขึ้น เพื่อลดความเครียดของเหล่าบุคลากรทางการแพทย์และช่วยให้แพทย์ใช้เวลากับผู้ป่วยได้เยอะมากขึ้น
สิ่งน่าตื่นเต้นที่สุดของ Deep learning คือมันกำลังถูกขนานนามว่าเป็นดั่งกระดานกระโดดน้ำที่ถูกค้นพบในจักรวาล โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย ETH ซูริค ได้เปิดเผยงานวิจัยที่พวกเขาได้ลองใช้เครือข่ายประสาทเทียมเพื่อศึกษาสสารมืดโดยเปรียบเทียบกับกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิล พวกเขาพบว่า Deep learning บ่งบอกค่าได้แม่นยำกว่า 30% เมื่อแยกองค์ประกอบของจักรวาล สสารแบริออน สสารมืดและพลังงานมืด นักวิจัยได้สรุปว่า Deep learning สร้างโอกาสที่ดีสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลทางดาราศาสตร์ในอนาคต
และสิ่งที่จะเป็นไปอย่างแน่นอนคือการระดมทุนเข้าสู่ AI - Pentagonhas เพื่อจัดสรรงบประมาณเกือบ 1พันล้านดอลลาร์ให้ AI โดยเน้นการศึกษาวิจัยDeep learning ในปี 2563เพื่อที่อิทธิพลของ AI และ Deep จะได้เติบโตขึ้นไปในอนาคต

ควิกเซิร์ฟ
สินค้า
งานระบบ
บริการ
กิจกรรม
ออนไลน์
Server
Hyper converged
Storage
UPS
Networking
PC
All in one
Notebook
Monitor
Printer
Hosting
Google cloud
AWS
Microsoft Azure
SSL